บทที่ 1 เซต


บทที่ 1 เซต



            วัตถุประสงค์ของบทที่ 1 เซต
    1. สามารถอธบายความหมายเกี่ยวกับเซตได้
    2. สามารถยกตัวอย่างเกี่ยวกับเซตได้


                   1.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเซต
      เซต ในทางคณิตศาสตร์เป็นคำซึ่งไม่สามารถให้ความหมายได้ แต่เป็นที่คำใช้กล่าวถึง "กลุ่ม." ของสิ่งต่างๆ เช่นเซตของประเทศในทวีปยุโรป หรือ เซตจำนวนเต็มที่เป็นตัวประกอบของ 99
      เซตในวิชาคณิตศาสตร์จะต้องเป็น เซตที่มีความชัดเจน (well-defined set) กล่าวคือ เมื่อกำหนดสิ่งใดมาให้แล้ว จะไม่สามรถบอกได้ตรงกันว่าสิ่งนั้นเป็นสมาชิกที่กล่าวถึงหรือไม่
      ใช้สัญลักษณ์ n(A) แทน จำนวนสมาชิกของเซต A
       เซตว่าง คือเซตที่ที่ไม่มีสมาชิก เขียนที่ด้วยสัญลักษณ์ ∅ หรือ {}
     
       วิธีการเขียนเซต ทำได้ 2 วิธี คือ 
    1. เขียนแบบแจกแจงสมาชิก คือ เขียนแสดงสมาชิกของเซตให้เห็นเลย เห็นแล้วรู้เลยว่ามีอะไรบ้าง
    2. เขียนแบบบอกเงื่อนไข เป็นการบรรยายลักษณะ (เงื่อนไข) ของสมาชิกให้คนอ่านแปลเอาเอง

       ประเภทของเซต มี 2 ประเภท คือ
    1. เซตจำกัด (Finite set) คือ เซตที่บอกจำนวนสมาชิกได้
    2. เซตอนันต์ (Infinite set) คือ เซตที่มีจำนวนสมาชิกมากมายนับไม่ถ้วน



                 1.2 สับเซตและเพาเวอร์เซต 
     สับเซต(Subset) คือ เซตย่อยที่เป็นไปได้ทั้งหมด จากการนำสมาชิกของเซตเดิมมาสร้างเป็นเซตใหม่สามารถตรวจสอบการเป็น สับเซต จากข้อกำหนดที่ว่า
                       Aเป็นสับเซตของ B ก็ต่อเมื่อ สมาชิกทุกตัวของ A เป็นสมาชิกของ B 
      A เป็นสับเซตของ B เขียนแทนด้วย A ⊂ B , A ไม่เป็นสับเซตของ B เขียนแทนด้วย A⊄ B
     เซตว่างเป็นสับเซตของทุกเซต

     เพาเวอร์เซต (เซตกำลัง : Power Set) คือ เซตของสับเซตทั้งหมดที่เป็นไปได้ 
          เขียนแทนด้วย P(A)
          ∈P(A) : เซตว่างเป็นสมาชิกของทุกเพาเวอร์เซต 
          A∈P(A) : ทุกๆเซตเป็นสมาชิกของเพาเวอร์เซตของตัวมันเอง
          

                  1.3 Set Operation
     ปฏิบัติการของเซต เป็นการกระทำเพื่อสร้างเซตใหม่ มี 4 วิธี คือ
           1. ยูเนียน (union)
                ∪ B คือ เซตที่ได้จากการนำสมาชิกจาก A และ B มารวมเข้าด้วยกัน ดังแผนภาพ


           2. อินเตอร์เซกชัน (intersection)
                     A ∩ B คือ เซตของสมาชิกที่มีซ้ำกันทั้งใน AและB ดังแผนภาพ

          3. ผลต่าง (difference)
                   ผลต่างไม่มีสมบัติของการสลับที่เหมือนยูเนียนหรืออินเตอร์เซกชัน พิจารณาจาก                               แผนภาพ
                                             A-B เซตของสมาชิกที่อยู่ใน Aแต่ไม่อยู่ใน B 

       4. คอมพลีเมนต์ (complement)
                A’ คือ เซตของสมาชิกที่ไม่อยู่ใน A (อยู่ข้างนอกA) ดังแผนภาพ

             
                        1.4 จำนวนสมาชิกของเซตจำกัด
       ในการหาจำนวนสมาชิกของเซต อาจใช้วิธีวาดแผนภาพแล้วลงจำนวนสมาชิกในแต่ละพื้นที่ตามเงื่อนไขหรือใช้      สูตรสำเร็จในการคำนวนได้เลย หากปัญหาไม่ซับซ้อนมากนัก
  
  สูตรหาจำนวนสมาชิกเซต

         2 เซต    n(A∪B) = n(A) + n(B) - n(AB)
        3 เซต   n(A∪B∪C) = n(A) + n(B) + n(C) - n(AB) - n(A∩C) - n(B∩C) + n(AB∩C)

                       1.5 การใช้เซตแก้โจทย์ปัญหา
       กำหนดให้A คือ เซตของคนที่ชอบสุนัข และ B คือ เซตของคนที่ชอบแมว จะได้ว่า
   
     1. เซตของของจำนวนคนทั้งหมด                  U
     2. เซตของคนที่ชอบสุนัข หรือ แมว              A∪B
     3. เซตของคนที่ชอบสนุข และ แมว              AB
     4. เซตของคนที่ชอบสุนัขแต่ไม่ชอบแมว        A-B
     5. เซตของคนที่ชอบแมวแต่ไม่ชอบสุนัข        B-A
     6. เซตของคนที่ไม่ชอบสุนัข                          A’
     7. เซตของคนที่ไม่ชอบแมว                          B
     8. เซตของคนที่ไม่ชอบทั้งสุนัขและแมว          (A∪B)


    แบบฝึกหัด
  ในการสอบของนักเรียนชั้นประถมศึกษากลุ่มหนึ่ง พบว่า มีผู้ที่สอบผ่านวิชาต่างๆ ดังนี้
            คณิตศาสตร์  39 คน  สังคมศึกษา 50 คน  ภาษาไทย 46 คน 
         คณิตศาสตร์และสังคมศึกษา    13  คน
         ภาษาไทยและสังคมศึกษา      15  คน
         คณิตศาสตร์และสังคมศึกษา    8    คน
         ทั้งสามวิชา                         7    คน
       จำนวนผู้ที่สอบผ่านอย่างน้อยหนึ่งวิชามีกี่คน (ข้อสอบเติมคำตอบ)
   วิธีทำ   ให้ A,B,C  คือ เซตของผู้สอบคณิตศาสตร์ สังคมศึกษา และภาษาไทย ตามลำดับ จะได้ 
 n(A)=39   n(B)=50    n(C)=46   n(AB)=13  n(B∩C)=15  n(A∩C)=8 และ n(AB∩C)=7
 โดยโจทย์อยากรู้จำนวนคนอื่นที่สอบผ่านอย่างน้อยหนึ่งวิชา คือ สอบผ่าน คณิตศาสตร์หรือสังคมฯ หรือไทยวิชาใดวิชาหนึ่ง ซึ่งก็คือ n(A∪B∪C)  นั่นเอง
     จากสูตร n(A∪B∪C) =n(A) + n(B) + n(C) - n(AB) - n(A∩C) - n(B∩C) + n(AB∩C)
     แทนค่า :                  =39+50+46-13-15-8+7
                                    = 106
     ดังนั้น จำนวนผู้ที่สอบผ่านอย่างน้อยหนึ่งวิชามี 106 คน


อ้างอิง
                                                                                                   จบบทที่ 1 ขอบคุณค่ะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น